จัดส่งฟรี เมื่อสั่งซื้อสินค้าครบ 1,000 บาท

Style Lessons From A Classic '80s Thai Romance Film

พริกขี้หนูกับหมูแฮม กับสไตล์อมตะ
พริกขี้หนูกับหมูแฮม กับสไตล์อมตะจากเมื่อวาน ที่วันนี้ พรุ่งนี้ ก็ยังคงคิดถึง

“จอห์นคะ…กว่าคุณจะได้ยินเสียงของฉันตัวฉันก็คงไปอยู่นิวยอร์กแล้ว อีกครั้งแล้วสินะที่ฉันต้องโยกย้าย” อ่านจบประโยคนี้เมื่อไหร่เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องมีอินโทรเสียงซินธิไซส์เซอร์จากแทร็คยอดฮิตของยุคนี้อย่าง “พบกันใหม่” จาก Polycat ขึ้นมาปรากฎอยู่ในหัวแน่นอน แต่สำหรับคนที่อายุย่าง 30 ปีแล้ว อาจนึกถึงเสียงเพลงท่อนฮุก “อยู่ไกลกันเกินครึ่งฟ้า…หากยังมีใจถึงกัน จะโยงใยความสัมพันธ์จนมาพบกันใกล้ตา” จาก มัม ลาโคนิค วนเวียนอยู่ในโสตประสาทให้ฮัมได้ทั้งวัน

สำหรับเราแล้ว มั่นใจว่าภาพยนตร์จอเงินเรื่องพริกขี้หนูกับหมูแฮม หรือ ชื่อภาษาอังกฤษสุด Cliché ที่ชื่อว่า A Very Romantic Story in the Very Big City คือหนึ่งในภาพยนตร์ไทยที่ดีที่สุดในยุคปลาย ‘80s และมันยังเป็นอย่างนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

ในวาระที่อิทธิพลของเสื้อผ้ายุค ‘80s – ‘90s – 2000s มันเริ่มคุกคามเราเข้าไปทุกๆ ที แล้วแฟนของพระเอกอย่าง “จอห์น” (แสดงโดย ขจรศักดิ์ รัตนนิสัย) และ นางเอกของเรื่องอย่าง “พิม” (แสดงโดย จันจิรา จูแจ้ง) จะอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร เราจะมาแกะสไตล์ของพระเอกให้ดูกันว่าแต่ละชุดที่เขาใส่นั้น มันไม่ได้ต่างอะไรไปกับที่เราเห็นๆ กันจากแบรนด์ดังๆ ของโลกในตอนนี้ยกตัวอย่างเช่น Balenciaga ที่ราวกับว่า Demna Gvasalia เคยแอบเปิดพริกขี้หนูกับหมูแฮมในออฟฟิศที่ปารีสเลยทีเดียว

ขอวกออกจากเรื่องความประทับใจของหนังสักนิด เพราะไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องแฟชั่นการแต่งตัวแล้ว เราคงเห็นกันอย่างโจ่งแจ้งว่า ไม่ว่าจะแบรนด์สตรีทโลคอล ไปจนถึงไฮแบรนด์ของโลกในปีสองปีที่ผ่านมาต่างเอา “สไตล์จากเมื่อวาน” หยิบมาเล่น ปัดฝุ่น นำเสนอใหม่ (Reintroduce) ให้เด็กๆ ยุคที่เกิดหลังปี 2000 ได้รู้สึกว้าวกันเล่นๆ ทั้งเสื้อยืดตัวใหญ่ๆ กางเกงขากระบอกที่ไม่ได้เข้ารูป การใช้เลเยอร์ของเสื้อเชิ้ตที่มีเสื้อยืดคอกลมธรรมดาๆ อยู่ข้างใน หรือ กางเกงมีจีบเอวสูงรัดเข็มขัด ซึ่งของเหล่านี้มันไม่เคยหายไปเลย เพียงแต่มันถูกคลื่นของการทดลองผิดลองถูก ความเฉิ่ม ความสับสนของกระแสแฟชั่นโลกในยุคหลังปี 2000s กลบไปในระยะหนึ่งเท่านั้น

เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเสื้อผ้าในยุคปลาย ’80s ไปจนถึงต้นๆ ยุค ’90s ก็ยังเป็นความ Nostalgic และไร้เดียงสา ไม่พยายามที่จะตราหน้าว่าจะต้องทำให้คนที่เห็นประทับใจไปมากกว่าหน้าที่ปกคลุมร่างกาย และนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่เสื้อผ้าแห่งยุคปลาย ’80s แบบที่ จอห์นใส่ มันไม่เคยได้รับคำก่นด่าว่า “เชย” เลยแม้แต่น้อย

กลับมาที่พริกขี้หนูกับหมูแฮมของเราอีกครั้ง เราจะเถียงอย่างสุดใจทุกครั้งหากมีใครบอกว่า “หนังไทยไม่เคยสอนเราแต่งตัว” สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูพริกขี้หนูกับหมูแฮม เรารับประกันว่าคุณจะไม่ผิดหวังเพราะมันคือภาพยนตร์เพชรเม็ดงามเรื่องหนึ่งของไทย ที่ไม่ได้มีดีแค่บท สถานที่ มุมกล้อง บรรยากาศความโรแมนติก แต่มันคือชุดที่พระเอกได้สวมใส่ตลอดเรื่อง จากฝีมือของคุณ “พจมาน แดงฉาย” ผู้เป็นคอสตูมดีไซน์เนอร์ให้กับเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว

Leather Flight Jacket

หลังจากที่จอห์นได้เจอกับพิมแบบในฉากเปิดตัวคู่พระนาง และมีปากเสียงถึงเรื่องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของห้องเช่าที่กลางมหานครนิวยอร์กแล้ว เขาได้ออกมาพบปะเพื่อนร่วมงานอย่าง “ชัย” ณ ตลาดเปิดท้ายขายของมือสอง หรือ Flea Market ละแวกนั้น พร้อมเล่าเรื่องราวประหลาดว่ามีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมานอนอยู่ในห้อง พร้อมด้วยการเลเยอร์เสื้อผ้าถึง 3 ชิ้น ตั้งแต่เสื้อยืดคอกลม Crew Neck, เสื้อเชิ้ตผ้าแชมเบรย์ตัวเก่ง (ที่เราจะเห็นจอห์นใส่เกือบตลอดทั้งเรื่อง) และ Flight Jacket แบบหนัง ที่มีรูปทรงคล้าย Bomber Jacket ถ้าให้เดาก็คงเป็นช่วงอากาศเริ่มเย็นในนิวยอร์กตอนถ่ายทำ เราจึงเห็นการจับเสื้อผ้าหลายๆ ชิ้นมาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ซึ่งรูปทรงของคอสตูมของจอห์นในฉากนี้หากเทียบกับปัจจุบัน เราก็ยังเห็นอยู่ประปราย และไม่ได้รู้สึกว่ามันเก่าหรือล้าสมัยเลย

High-Waisted Trousers with Belt

เมื่อกลับมาจากข้างนอก จอห์นเปิดประตูมาเจอกับพิมที่กำลังขะมักเขม้น ดูดฝุ่น ปัดกวาดเช็ดถูกห้องราวกับว่าเธอยังเป็นเจ้าของห้องเช่าที่แฟนเก่าเพิ่งจะขายให้จอห์นเมื่อไม่นานนี้ จอห์นยังคงสวมเสื้อเชิ้ต แต่ครั้งนี้เป็นเสื้อเชิ้ตผ้าคอตต้อนตัวหลวมโคร่งเอกลักษณ์ของ Silhouette เสื้อผ้าในยุค 30 ปีที่ผ่านมา แต่อาจจะพิเศษหน่อยที่มีกระเป๋า Flap Pocket แบบตะวันตกเป็นลูกเล่น พร้อมกางเกงมีจีบเอวสูงและเข็มขัดแบบมีหัว เรียกได้ว่ามันเป็นชุดที่ลงตัวที่สุดในเรื่องเพราะหากนึกดูแล้วในปัจจุบันหากจะมองหาเสื้อผ้าในท้องตลาด มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจับจ่ายเสื้อผ้ารูปทรงแบบนี้ และเมื่อมันอยู่ด้วยกันก็ยังให้ความทะมัดทะแมงได้ พร้อมกลิ่นอายของ ความเป็นยุค 80’s ตอนปลายๆ ได้อย่างไม่ต้องพยายาม

Rayon Tee and Sweatpants

จะว่าฉากนี้เป็นทั้งฉากที่ตลก และ ตื่นเต้นที่สุดในเรื่องก็ว่าได้เพราะเป็นฉากที่จอห์นกำลังพักผ่อน อ่านหนังสือ นั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พร้อมพ่นควันบุหรี่ในท่านั่งสบายๆ ในชุดเสื้อยืดพิมพ์ลายธรรมดาๆ ผ้าเรยอง กับกางเกง Sweat Pants ก่อนที่แฟนสาวของเขาอย่าง “แพต” จะมาเยี่ยมแบบเซอร์ไพรส์เพราะไม่ได้นัดมาก่อน พิมที่อาศัยอยู่ในห้องจึงต้องหนีแบบหัวซุกหัวซุน และจอห์นก็ช่วยปกปิดแบบเกือบจะไม่รอด

Overshirt with Crew Neck Tee

จอห์นในชุดง่ายๆ ที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตลายตารางหรือ  Plaid จับคุ่กับเสื้อยืด Crew Neck สีดำธรรมดาๆ ในอิริยาบถการเป็นผู้ปลอบใจพิมหลังจากกลับมาจากงานปาร์ตี้คนไทยในนิวยอร์ก ที่พิมได้เจอกับ “นัท” แฟนหนุ่มที่เธอยังเชื่อว่าไม่ได้หายไปไหนแบบที่จอห์น บอกตอนต้นเรื่อง แต่กลับมาปรากฎตัวที่งานพร้อมแหม่มผมทอง ทำให้พิมใจสลาย โวยวาย และ ลงไม้ลงมือกับนัทไป จนกลับมาฟุ้งซ่านหมดอะไรตายอยากที่ห้อง พระเอกอย่างจอห์นจึงต้องรับบทเพื่อนที่รู้ใจแม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน เชื่อว่าผู้กำกับและคนเขียนบทคงจะตั้งใจให้ฉากนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความหวังดีจากเพื่อน จนขยับมาเป็นความห่วงใยแบบคนรักอย่างห่างๆ ในที่สุดก็เป็นได้

Chambray Shirt and Chino Pants

ในบรรดาคอสตูมและฉากของเรื่องพริกขี้หนุกับหมูแฮม ฉากนี้เป็นฉากที่เราประทับใจมากที่สุด เพราะเป็นฉากที่จอห์นผู้ซื่อสัตย์กับความรัก และพิม สาวผู้ผิดหวังจากความรักและโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ได้เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น เขาและเธอตะลอนเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ของนิวยอร์กอย่างสนุกสนานเพื่อให้ลืมความทุกข์ ดูไปดูมามันเหมือนเป็นกิจกรรมของคู่รักที่เพิ่งจะจีบกันใหม่ๆ อย่างไงอย่างงั้น

ประโยคเด็ดของจอห์นในฉากนี้คือ “รักแฟนไหม รักสิ ก็ที่ผมเป็น Job Hunter อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะจะเก็บเงินไปแต่งงานกับเธอ…แพตซี่ของผมไม่ใจง่ายเด็ดขาด เรารู้ใจกันยิ่งกว่าอะไร ความรักเรามั่นคง จริงจัง และก็ยิ่งใหญ่มาก” ก่อนที่ต่อมาแพตจะเข้ามาบอกเลิกแบบกะทันหันเพราะกำลังจะแต่งงานกับหนุ่มฝรั่งมังค่า และทำให้จอห์นคลั่งแบบคนอกหักไม่ต่างจากพิมพ์ในตอนกลางเรื่อง นี่คือจุดที่ “คนถูกทิ้ง” ทั้งสองคนเข้าใจกัน และทำให้เกิดเป็นความรักของเรื่อง

เสื้อเชิ้ตแชมเบรย์, เสื้อยืด Crew Neck สีขาว, Flight Jacket หนัง ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่ในครั้งนี้จอห์นใส่กางเกงชิโน่สีกากี ทรงหลวมแบบ Loose Fit มันช่างเข้ากับบทพูด แซนด์วิชในมือ และ กลิ่นของความรักปนความผิดหวังแบบไม่น่าเชื่อ

Blouson Jacket

อีกหนึ่งฉากที่สวยที่สุดในเรื่อง คือฉากที่จอห์นพาพิมพ์มาชมทุ่งทาโฮ ซึ่งเป็นที่ที่เขาหมายมั่นปั่นมือว่าจะรวบรวมเงินเปิดกิจการปั๊มน้ำมันกับชัยเพื่อนรักของเขาในอีกไม่ช้า “นานไหมคะ…ก็ไม่นานหรอก รอให้ผมพ้นสภาพพระเอกแห่งป่าเชอร์วู้ดไปซะก่อน”

และเรายังได้เห็นแจ็คเก็ตอีกตัวที่โผล่มาในเรื่อง ลักษณะเป็น Blouson Jacket ทรงกล่องพร้อมปกเสื้อแบบใหญ่ ในสีสันแนว Military ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นเสื้อผ้าแบบทหารที่จอห์นชอบ และผู้ออกแบบคอสตูมก็จับมันให้อยู่เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่ลุ่มๆ ดอนๆ ในนิวยอร์กของจอห์นด้วย

Leather Chukka Boots

คุณเคยรู้สึกไหมว่ารองเท้าหนังหุ้มข้อทรง Chukka มันดูล้าหลัง คำตอบคือไม่ เพราะหากดูในภาพนี้ในฉากที่จอห์นกำลังเซ็งเรื่องที่แอบเห็นแฟนเก่าของพิมกลับมานัดเจอหน้าอพาร์ทเมนท์ของเขา และมานั่งสูบบุหรี่ที่ทุ่งทาโฮที่เขารัก พร้อมเสื้อโอเวอร์เชิ้ต, กางเกงชิโน่ และ รองเท้าหนังทรง Chukka มันช่างเป็นชุดที่ลงตัวกับสภาพอากาศแบบซัมเมอร์ในนิวยอร์ก และเมืองไทยในขณะเดียวกัน และที่สำคัญมันไม่ได้รู้สึกว่าเก่าเลย

Sweatshirt and Sweatpants

เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของเรื่องเมื่อตอนที่พิมกำลังนั่งรถย้ายไปนิวยอร์กเพื่อไปอยู่กับป้าของเธอแบบไม่ได้ลา เพราะจอห์นยังนอนสลบอยู่ที่อพาร์ทเมนท์หลังมีเรื่องชกต่อยกับแก๊งค์ค้ายาเสพติด และเหลือไว้เพียงเทปที่พิมอัดไว้ให้ในประโยคคลาสสิกที่สุดของเรื่องที่ว่า “จอห์นคะ…กว่าคุณจะได้ยินเสียงของฉันตัวชั้นก็คงไปอยู่นิวยอร์กแล้ว อีกครั้งแล้วสินะที่ฉันต้องโยกย้าย”

จอห์นวิ่งแบบสุดพลังเพื่อไล่ตามรถในชุด Sweat Shirt และ Sweat Pants แบบเข้าชุดราวกับว่าเตรียมพร้อมจะวิ่ง 4 x 100 ตามรถบัสที่พิมนั่งอยู่อย่างเตรียมตัวมาอย่างดี พร้อมตะโกนว่า “คุณยังไปไหนไม่ได้ คุณยังติดหนี้ผมอยู่ 10 เหรียญ…คุณต้องกลับมาใช้หนี้ผมสัญญาสิ”เป็นฉากที่เรียกน้ำตาผมได้อย่างไม่น่าเชื่อแม้มันจะดูไม่สมจริงก็ตามที่คนๆ หนึ่งจะวิ่งตามรถบัสได้แบบนั้น ทั้งที่ยังเจ็บป่วยอยู่

Field Jacket

ฉากสุดท้ายของเรื่องที่จอห์นในชุดเสื้อยืดพิมพ์ลายกับ Field Jacket ได้เจอกับพิมหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พิมกับมาหาจอห์นตามสัญญาที่เคยให้ไว้พร้อมคืนเงิน 10 เหรียญที่เป็นสัญญลักษณ์ของการ “พบกันใหม่” อีกครั้ง และนี่คือเรื่องราวของจอห์นและพิมที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความรักความอบอุ่นที่ไม่ว่าจะงัดเรื่องนี้มาดูเมื่อไหร่ ก็ไม่มีวันเบื่อเลย

ขอบคุณภาพจาก Mono Flim

Previous Article Next Article
Use Code: FIRSTORDER10 กรอกโค้ดที่หน้าเช็คเอาท์เพื่อรับส่วนลด 10% สำหรับออเดอร์แรก